สาวออฟฟิศกินจุบจิบ เสี่ยงเป็นเบาหวาน…..
สาวออฟฟิศกินจุบจิบ เสี่ยงเป็นเบาหวาน…..
ขนมเค้ก คุกกี้ ขนมปัง กล้วยแขก มันทอด เต้าหู้ทอด เผือก มันฝรั่งทอดกรอบ ฯลฯ ที่สาว ๆ ส่วนใหญ่มีติดโต๊ะทำงานไว้แก้หิว เพราะตอนเช้าที่รีบเร่งตื่นแต่งตัวรีบเร่งไปทำงานให้ทันเวลา แม้จะดื่มกาแฟแก้วเดียวก็แทบจะไม่มีเวลา แต่พอสาย ๆ ท้องก็เริ่มหิว เริ่มหาขนมที่วางไว้บนโต๊ะ หรือแซนด์วิชที่ร้านสะดวกซื้อมารองท้อง เป็นเรื่องผิดอย่างมาก!!!
งานออฟฟิศส่วนใหญ่เป็นงานที่นั่งทำอยู่กับโต๊ะและหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งเครียดและยุ่งแทบไม่ค่อยมีเวลากินข้าว แต่จะกินจุบกินจิบแทน พอตกบ่ายก็เริ่มง่วงจนต้องหากาแฟอีกแก้วพร้อมกับขนมขบเคี้ยวที่ซื้อติดมือมาจากมื้อกลางวัน แต่ความผิดยังไม่หมดเท่านั้น เพราะสาวออฟฟิศส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาไปออกกำลังกาย จึงทำให้น้ำหนักตัวยิ่งเพิ่มมากขึ้น และพฤติกรรมซ้ำ ๆ เหล่านี้เองที่ทำให้ สาวออฟฟิศเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานโดยไม่รู้ตัว
…“เราไม่ควรกินน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชา”…
หลักโภชนาการ กำหนดให้ผู้ที่มีสุขภาพปกติบริโภคน้ำตาลได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา แต่ทว่าสาวออฟฟิศที่ห่วงสวยจะเปลี่ยนมารับประทานผลไม้เป็นของว่าง และได้รับน้ำตาลมากถึงวันละ 25 ช้อนชา ในขณะที่ผู้ชอบกินขนมกรุบกรอบจะได้รับน้ำตาลวันละประมาณ 18 ช้อนชา
“กินหวาน” ไม่ได้ทำให้เป็นเบาหวาน แต่เสี่ยง!! ต่อการเป็นเบาหวาน
เบาหวานคือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดมากเกินปกติ ซึ่งเกิดจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ถ้าร่างกายได้รับปริมาณน้ำตาลและแป้งเกินเป็นประจำ จะทำให้ตับอ่อนทำงานหนักจากการผลิตอินซูลิน ยิ่งคนที่มีปริมาณไขมันมากก็จะยิ่งทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี ทำให้มีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดสูง และในที่สุดก็จะกลายเป็นเบาหวานได้ ส่วนจะเป็นเบาหวานเร็วหรือช้านั้นขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของตับอ่อนของแต่ละคน
จากการสำรวจ พบว่า คนไทยเป็นเบาหวานประมาณร้อยละ 7 ของประชากรหรือมากกว่า 3 ล้านคน และที่สำคัญขณะนี้คนไทยมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานเพิ่มเป็น 6-7 ล้านคน ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ทั่วโลกมีผู้เป็นเบาหวานประมาณ 177 ล้านคน และคาดว่าปี 2025 จะพบผู้เป็นเบาหวานทั่วโลก 300 ล้านคน
นักโภชนาการ กล่าวว่า “ส่วนใหญ่สาว ๆ ที่ทำงานออฟฟิศจะงดอาหารเช้า ดื่มกาแฟแก้วเดียวก่อนมาทำงาน พอนั่งทำงานไปสักพักจะรู้สึกหิวเพราะระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลง สมองจึงสั่งการว่า “หิว” เราก็จะหาขนมมากินจนกว่าระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นแล้วสมองสั่งการให้หยุดกิน ซึ่งในความเป็นจริงสมองมักจะรับรู้ช้ากว่าจะได้รับน้ำตาลและพลังงานเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ และส่วนใหญ่ขนมหรือน้ำผลไม้ที่หยิบมากินรองท้องในระหว่างมื้อ ปริมาณการกินจะไม่มากแต่ให้แป้งและน้ำตาลสูงกว่าอาหารมื้อหลักและไม่ทำให้อยู่ท้องด้วย
ทั้งนี้ อาหารที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานคือ กลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งหมายถึงแป้งและน้ำตาล เราควรรับประทานกลุ่มแป้ง เช่น ข้าวไม่เกินวันละ 8–12 ทัพพี และน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา และต้องคำนึงถึงแป้งและน้ำตาลที่แฝงในอาหารและเครื่องดื่มด้วย เพราะบางคนเลือกทานผลไม้ แต่เมื่อคำนวณปริมาณน้ำตาลโดยรวมออกมา อาจมีปริมาณมากกว่าการทานขนม เพราะในผลไม้หรือเครื่องจิ้มก็มีปริมาณน้ำตาลเช่นเดียวกัน”
เราจะแก้ไขอย่างไรดี
เพื่อไม่ให้เกิดน้ำตาลสะสมในร่างกายมากเกินไป สาว ๆ ควรเลือกทานอาหารกลุ่มนี้ในมื้อเช้าและกลางวัน เพราะระหว่างวันเรามักจะมีกิจกรรมต่าง ๆ ทำ ซึ่งจะทำให้อาหารที่ทานเข้าไปถูกเผาผลาญ แทนการสะสมในร่างกาย ส่วนการจะลดเสี่ยงเบาหวานก็สามารถทำได้โดย
1.ไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชา และแป้ง (ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง เค้ก ฯลฯ) ไม่เกิน 8–12 ทัพพี
2.ควรจดบันทึกปริมาณพลังงานที่ได้รับ/วัน หรือนับการรับประทานอาหารกลุ่มแป้ง น้ำตาล และไขมัน เช่น มื้อกลางวันทานสัปปะรดไปแล้ว มื้อเย็นก็ไม่ควรทานอาหารที่มีน้ำตาลแฝงอยู่ เช่น แกงเขียวหวาน ควรเลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีน้ำตาลแทน เช่น ปลาย่างทานกับผักสด
3.อย่าซื้อขนมหวานที่ชอบติดบ้าน เวลาเบื่อหรือนั่งดูทีวีเรามักจะรับประทานขนมได้มากโดยไม่รู้ตัว ถ้าเบื่อควรเลือกทานผลไม้ที่ไม่หวานแทน เช่น ฝรั่ง, มันแกว ฯลฯ
4.รับประทานให้ช้าลง เพราะร่างกายจะรับรู้ถึงสัญญาณความอิ่มหลังรับประทานอาหารประมาณ 15–20 นาที ถ้าเรารับประทานช้าลงเราก็จะรู้สึกอิ่มโดยที่ไม่ได้รับประทานเกินความต้องการของร่างกาย
5.เคี้ยวอาหารให้นานขึ้น ยิ่งเคี้ยวนานเราก็จะทานช้าลง และอิ่มเร็วขึ้น
6.ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3 ครั้ง เพื่อลดปริมาณไขมันในร่างกายเพื่อช่วยให้อินซูลินทำงานได้ตามปกติ
เบาหวาน ใช้เวลาในการเกิดนานและยังมีที่มาจากพฤติกรรมในการกิน ถ้าเป็นแล้วจะเรื้อรังต้องรักษาติดต่อกันเป็นเวลานานหรือตลอดชีวิต ดังนั้น ถ้าสาว ๆ ที่มีพฤติกรรมชอบกินจุบกินจิบ กินตามใจปาก จึงควรปรับพฤติกรรมการกินเสียใหม่แล้วหันมาใส่ใจในการเลือกอาหารของแต่ละมื้อ ซึ่งนอกจากจะไม่ทำให้รูปร่างอ้วนบวมแผละแล้วยังไม่เสี่ยงเป็นเบาหวานอีกด้วย